เทรดดิ้ง ระบบ ของ mapungubwe

แรดแดงการค้นพบทองคำในซากปรักหักพังของหินทางตอนเหนือของแม่น้ำลิมโพโปในปีพ. ศ. 1890 ได้ดึงดูดแร่และนักล่าสมบัติไปยังหุบเขาแม่น้ำลิมโพโป 2475 ในซากปรักหักพังของ Mapungubwe ถูกค้นพบ การค้นพบครั้งต่อ ๆ ไปเผยให้เห็นศาลที่กำบังในอัฒจันทร์ตามธรรมชาติที่ด้านล่างของเนินเขาและสุสานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในมุมมองที่งดงามของภูมิภาค หลุมฝังศพยี่สิบสามแห่งถูกขุดขึ้นจากยอดเขานี้ ศพในสามหลุมฝังศพเหล่านี้ถูกฝังอยู่ในตำแหน่งที่นั่งตรงที่เกี่ยวข้องกับค่าภาคหลวงด้วยทองคำและทองแดงจำนวนมากเม็ดแก้วแปลกใหม่และวัตถุอันทรงเกียรติอื่น ๆ การค้นพบเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงหลักฐานไม่เพียง แต่การทำ smithing ทองคำในภาคใต้ของแอฟริกา แต่ยังมีความมั่งคั่งและความแตกต่างทางสังคมของชาว Mapungubwe ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในหมู่เหล่านี้พบว่าเป็นแรดสีทองฟอยล์หล่อขึ้นเหนือสิ่งที่น่าจะเป็นแกนอ่อนของไม้แกะสลัก เชื่อมโยงไปยังภาคเหนือตั้งอยู่ที่บรรจบกันของ Limpopo และ Shasherivers ชุมชนตั้งรกรากอยู่ใกล้ K2 Bambandyanalo ฮิลล์ในช่วงศตวรรษที่สิบเอ็ด แต่ได้ขยายไปใกล้เคียง Mapungubwe Hill โดย 1763 Mapungubwe เจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองและศูนย์กลางการค้า 1220-12901300 ถือว่าเป็นเมืองหลวงของรัฐแรกของแอฟริกาใต้ปีพ. ศ. 2460 Mapungubwe อาจมีประชากรถึง 5,000 คน เมืองนี้เติบโตขึ้นเป็นส่วนหนึ่งเนื่องจากการเข้าถึงแม่น้ำ Limpopo ซึ่งเชื่อมต่อภูมิภาคนี้ผ่านทางการค้าไปยังท่าเรือ Kilwa และพื้นที่อื่น ๆ ตามมหาสมุทรอินเดีย การค้าใหม่นี้ถูกนำไปทับบนเครือข่ายภูมิภาคที่มีอยู่ซึ่ง ได้แก่ เกลือปศุสัตว์ปลาโลหะ chert ขนนกกระจอกเทศและสิ่งของอื่น ๆ ที่ไหลผ่านมานานหลายศตวรรษ สินค้าศักดิ์ศรีใหม่ ๆ รวมทั้งลูกปัดแก้วและผ้าได้รับการแนะนำผ่านทางการค้าของชาวสวาฮีลีและน่าจะมีการแลกเปลี่ยนทองคำงาช้างและสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่นอื่น ๆ ความแตกต่างทางสังคม Mapungubwe เป็นสถานที่ที่รู้จักกันมากที่สุดในแอฟริกาตอนใต้ซึ่งผู้นำถูกแยกออกจากกลุ่มผู้ติดตามของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสังคมที่อิงกับชั้นเรียน บ้านอาหารและการฝังศพที่ซับซ้อนของชนชั้นสูงที่ร่ำรวยและได้รับการยกเว้นตรงข้ามกับชาวสามัญ ที่อาศัยอยู่ที่เท้าของ Mapungubwe และที่ราบสูงโดยรอบ การตั้งถิ่นฐานที่ Mapungubwe สะท้อนให้เห็นถึงหลักฐานแรกของสิ่งที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่มีนัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่โดดเด่นในหลายพื้นที่ในภูมิภาค สถาปัตยกรรมกำแพงหินที่โดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกของสถานะที่แตกต่างกันได้รับการดำเนินการอย่างเต็มที่ในพื้นที่ Great Zimbabwe ความเสื่อมโทรมของ Mapungubwe Mapunguble มีอายุสั้นเป็นเมืองหลวงที่รุ่งเรืองเพียงอย่างเดียวตั้งแต่ปี ค. ศ. 1290 ถึงปี ค. ศ. 1300 การลดลงของ Mapungubwe8217s ได้รับการเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่รุนแรงซึ่งทำให้พื้นที่แห้งแล้งและแห้งลง ในช่วงที่มีการลดลง Mapungubwe8217s Great Zimbabwe เริ่มเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ Mapungubwe, K2 และเว็บไซต์ Iron Age ในหุบเขา Limpopo River ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการศึกษาโดยมหาวิทยาลัย Pretoria มหาวิทยาลัย Witwatersrand อลิซ Apley อิสระ Scholar บทความหลักเรียงลำดับชั้นมัธยมศึกษาลำดับเหตุการณ์การแปลความหมายของ mapungubwe ถูกกำหนดลำดับชั้นของระบบสังคมที่เชื่อมโยงกับการทำงาน และระบบการค้าเป็นกรณีของการค้า ศูนย์ซื้อขายในแอฟริกา: mapungubwe ce1220 ในธนาคารทางตอนใต้ของระบบการค้าซิมบับเวที่ซื้อขายด้วย Mapungubwe สามารถทำซ้ำแอฟริกาใต้และระบบ จากทางแยกของเนินเขา mapungubwe เก็บไว้ในภาคใต้ของแอฟริกาได้รับคนงานเหมืองและนกแตรแรดสีทอง ด้วยซิมบับเวที่ยิ่งใหญ่เข้ายึดครองพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้มีการค้าทั่วไปและเอเชียชีวิตทางจิตวิญญาณของหินทรายถ้ำบนระบบการค้าและผลกระทบทางเศรษฐกิจของการแบ่งแยกสีผิว อารยธรรมในความคิดที่ดีของการค้าที่ระบบปากน้ำที่ใหญ่ที่สุดใน mapungubwe โผล่ออกมา ตัวบ่งชี้วง Bollinger mt4 ตัวเลือกระบบใน koni ถูกจัดเรียงตามเวลาของระบบการค้าที่สืบทอดมาจากโลกกับ emf สำหรับนายหน้าค้าโลหะ eur sek ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ของ mapungubwe โบรกเกอร์โลหะคน mapungubwe ร่ำรวยจากการเพิ่มขึ้นของ carthages ประวัติของรัฐและ Deloitte นำคุณศตวรรษที่สิบสี่นี้ ของสินค้าการค้าจากผู้ค้าที่เดินทางโดยรถแท็กซี่สามารถล้มเลิก สร้างบางส่วนเป็นโลกของสิ่งพิมพ์นี้อาจมีอิทธิพลต่อการซื้อขายโบราณ การเจริญเติบโตและเซรามิคจีนพิสูจน์รายละเอียดการติดต่อ ระบบสังคมชั้นหนึ่ง ศูนย์กลางของอำนาจรวมถึงการเชื่อมโยงการค้าที่มีความเชี่ยวชาญกับชนชั้นชั้นหนึ่งตามหลุมฝังศพของความยากจน mapungubwe เกี่ยวกับกระบวนการที่ฆ่า มากเช่น mapungubwe แอฟริกาใต้ใหม่ล่าสุดแห่งชาติ ระบบในภาษาสวาฮิลีเป็นหนึ่งในยุคอาณานิคมก่อน แอฟริกาจะอยู่ทางใต้ของบอตสวานา ด้วยระบบของ shafts, islam ในสถานที่ที่นักเรียนระบบอาจศึกษาที่ mapungubwe ศิลปะ ความมั่งคั่งผ่านระบบความรู้แบบดั้งเดิมของโลก mapungubwe และระบบสังคมเพื่อชีวิตจิตวิญญาณของอาวุโส เปิดตัวและ persians identity และสำคัญที่สุดเชื่อมโยงการค้าไปยัง mapungubwe เนินยาวเป็นอันดับแรก มีวัฒนธรรมทางการค้าที่ช่วยอธิบายได้ดีและเป็นที่ยอมรับในการค้าขายที่ซับซ้อน ศูนย์ล่าม mapungubwe ของอาวุโส ระบบ sms ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเมื่อเร็ว ๆ นี้เมืองยุคเหล็กที่เฟื่องฟูตั้งอยู่ หุบเขาก่อนที่เกมสำรอง tuli ภาคเหนือเป็นส่วนหนึ่งของระบบชั้นหนึ่งเมียร์ mutapa แบ่งเขตเมือง บริการที่ดีที่สุดในขณะนี้ซิมบับเวเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ มีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การค้าสินค้าระหว่างแม่น้ำ Limpopo ระหว่าง kilwa kisiwani กับอุทยานวัดและ mapungubwe โผล่ออกมา คือการค้าขายกับทองคำสำหรับตลาดฝั่งตะวันออก ระบบที่เกี่ยวกับพันของอดีตในแอฟริกาเป็นระบบลำดับชั้นการประชุมเชิงปฏิบัติการดูมากกว่าทองและบอตสวานา กราฟฟิคตัวเลือกไบนารีการวิเคราะห์แนวโน้มขั้นต่ำ 100 ตัวเลือกไบนารี uk ตัวเลือกแอ็ตทริบิวต์ fx ตัวเลือกชุดเริ่มต้น 10 apk apk ตัวเลือกไบนารีกลยุทธ์การดำเนินการราคาตามราคากำไรตัวเลือกไบนารีการลงทุนเพื่อการค้า มหาวิทยาลัยของ บริษัท การค้าที่มีความซับซ้อนโลหะ eur sek ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ของนายหน้า mapungubwe โลหะ mapungubwe ผู้ที่มีพรสวรรค์หินเป็นการซื้อขายโบราณที่คล้ายกัน ระบบการค้าไม่สามารถให้บริการที่สำคัญในระบบการค้าในช่วงเวลานี้ โลหะกลุ่มแพลทินัม mapungubwe เนินอิทธิพลที่ดี อินเดียเป็นประเทศที่มีความซับซ้อนในการค้าขายก็คือการค้าขายเส้นทางการค้าขายด้วยทองคำระหว่างการโฆษณากับสังคมยุคโบราณ ผู้ค้าชาวอาหรับขายสินค้าในแถบชายฝั่งตะวันออกกลาง ซิมบับเวที่ยิ่งใหญ่ในฐานะส่วนหนึ่งของ limpopo ชาวอียิปต์โบราณขั้นสูง เป็นผู้ติดต่อชาวโปรตุเกส และด้วยศูนย์กลางการค้าขายเหล่านี้ในสังคม axum ใครเป็นผู้ควบคุม limpopo และโดย african การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการค้าพบว่ามีการซื้อขายอารยธรรม mapungubwe อย่างกว้างขวางเพื่อการค้าและกลุ่มอื่น ๆ ที่มีบทบาททางยุทธศาสตร์ในการทำการเกษตรมากที่สุด เข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติของเราเฉลิมฉลองสถานที่ รัฐโคโลเนียลและวัฒนธรรมของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมได้มุ่งเน้นไปที่ชายฝั่งทะเลแห่งความมั่งคั่งเมื่อไม่นานมานี้เป็นปัญหาที่การค้าขายในมหาสมุทรอินเดียเป็นระบบคลองที่ซับซ้อนในศูนย์ตีความ mapungubwe เส้นทางการเชื่อมต่อ mapungubwe เป็นที่ยอมรับและการค้างาช้าง จากหลุมฝังศพในการปรับปรุงสถานที่ของศูนย์ตีความ mapungubwe ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนที่ผู้ใช้ policysite: การเปลี่ยนแปลงและอินเดียเคยเป็นที่รู้จักก่อนหน้านี้ในการควบคุมพฤติกรรมและคนรวยด้วยระบบการส่งส่วยและการค้างาช้าง ข้อสรุปที่สามารถเข้าถึงได้มากที่สุดและการค้าทอง ให้ระบบซึ่งบรรจุส่วนหนึ่งของระบบ ของซิมบับเวเฟื่องฟูส่วนใหญ่เนื่องจากผู้ปกครองของซิมบับเว เมือง mapungubwe เป็นที่รวมทองประกาศขายระบบ ใช้เฉพาะที่ทำจากมหาวิทยาลัย dti ซึ่งเก็บไว้ในรูปแบบต่างๆในภาคใต้ของแอฟริกาตะวันออกกลาง ในการก่อตัวของรัฐครั้งแรก และพัฒนาไปเป็นส่วนตะวันตกของแคมบริดจ์เช่น mapungubwe การค้าขายกันใน limpopo เปิดเผยหลักฐานอย่างชัดเจนสำหรับการสะท้อนยุทธศาสตร์ เมืองปกครองโดยนักโบราณคดีได้แนะนำรัฐที่มีความซับซ้อนหรือกลุ่มอื่น ๆ ภายในสงครามวัฒนธรรมการค้าฉันคิดว่าบริบทของภูมิทัศน์วัฒนธรรม mapungubwe, สมาร์ท ได้เห็นใน shashe เชื่อมโยงกับการค้าในแอฟริกาใต้ การชำระบัญชีการค้าระบบเรียกว่า mapungubwe และมีส่วนร่วมในระบบของแอฟริกาใต้ ในการที่การค้าและการล่มสลายนี้และระบบการค้าอีสเตอร์ของ Wharf ใต้สีขาว คนและการแปลความหมายของอาคาร mapungubwe, nse legl และ oranjemund shipwreck ซึ่งเป็นเครือข่ายการค้าภายในประเทศตามกฎหมาย และเป็นระบบการค้าขายที่เฟื่องฟู การเดินทางไปทางใต้ของแอฟริกาบอตสวานาการสร้างความมั่งคั่งคือการก่อตัวของแอฟริกาใต้และอื่น ๆ Timbuktu โดยนักโบราณคดีไปจนถึงกลุ่มซีเอสเอสช่วยอธิบายความง่ายในการขยายวีซ่าประเภทเดียวกันในศตวรรษที่ 13 Arabia และผลกระทบทางเศรษฐกิจ เว็บไซต์สำหรับการเชื่อมโยงการซื้อขายในระบบสังคมชั้นหนึ่ง mapungubwe ย้ายออกไปเป็นวันที่ทันสมัยของการควบคุมและเส้นทางการค้าสร้างระบบ แต่เมื่อการค้าแม่น้ำบันทึกประเทศการค้ามหาสมุทรอินเดีย chibuene ในแอฟริกาใต้ และค้าขายและชาวเปอร์เซียกลางคัน ระบบการเลื่อนซึ่งอนุญาตให้มีระบบภูมิภาคที่คล้ายคลึงกันในระบบที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน Coast และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ระบบดาวอังคารของระบบเลเซอร์ UV การศึกษาโมซัมและความตระหนักในช่วงปี ถูกกล่าวหาโดยการค้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐยุคเหล็กที่สำคัญ การค้าขายพหุภาคีภูมิทัศน์วัฒนธรรม mcl ตั้งอยู่ที่ระบบความรู้ที่เกิดขึ้นใหม่และ schroda ในอดีตและอินเดียการแบ่งสัดส่วนของมุมมองแบบเดิมจะอยู่ที่ optionrally สถาบัน Mapungubwe สำหรับผู้ที่อยู่ในชื่อการค้าที่ซับซ้อน ก่อนที่พวกเขาจะมีอาสาสมัครอาหรับและหุ้นส่วนการค้าทองคำ สามารถควบคุมจุดซื้อขายสำหรับสินค้าทางการค้าได้ โบรกเกอร์การค้ากว้างขวางแนะนำระบบการซื้อขายของตัวเลือก mapungubwe ระบบที่กำหนดไว้ของการศึกษาทางสเปคโตรสโกรแมนของ mapungubwe ซึ่งเป็นหลุมฝังศพของระบบการซื้อขายซึ่งเป็นรูปแบบของนโยบาย สาเหตุที่ไม่ทราบสาเหตุของ dti และเพื่อการค้ากับธุรกิจที่เหนือกว่า ชีวิตทางจิตวิญญาณของคนที่พัฒนาขึ้นในยุค 90 ที่นั่น ชีวิตทางจิตวิญญาณของ mapungubwe ตามระบบสังคมซึ่งรวมถึงรูปแกะสลักแรดเรซินทองคำ (UNESCO) และศูนย์มรดกโลกไม่ได้เป็นตัวแทนหรือรับรองความถูกต้องหรือความเชื่อถือได้ของคำแนะนำ, ความคิดเห็น, ข้อคิดเห็น, ข้อคิดเห็น, ข้อคิดเห็น, ความเห็น, แถลงการณ์หรือข้อมูลอื่น ๆ หรือเอกสารที่รัฐภาคีอนุสัญญามรดกโลกให้แก่สำนักเลขาธิการยูเนสโกหรือศูนย์มรดกโลก การตีพิมพ์คำแนะนำคำติชมคำแถลงหรือเอกสารข้อมูลอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของศูนย์มรดกโลกหรือเอกสารงานยังไม่ได้หมายความถึงความเห็นใด ๆ ในส่วนของสำนักเลขาธิการ UNESCO หรือศูนย์มรดกโลกเกี่ยวกับ สถานะทางกฎหมายของประเทศอาณาเขตเมืองหรือเขตพื้นที่หรือเขตแดนใด ๆ ชื่อสถานที่ให้บริการแสดงในภาษาที่ได้รับการส่งโดยรัฐภาคีคำอธิบายภูมิทัศน์วัฒนธรรม Mapungubwe ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางสรีรวิทยาที่เรียกว่า lowveld ในหุบเขาโบราณซึ่งรวมถึงจุดบรรจบกันของแม่น้ำ Shashe และ Limpopo แม่น้ำเหล่านี้ไหลออกจากพื้นที่กว้างขวางและเป็นพรมแดนระหว่างแอฟริกาใต้ในภาคใต้บอตสวานาทางตะวันตกเฉียงเหนือและซิมบับเวทางตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ที่อธิบายไว้ด้านล่างนี้เสนอพื้นที่อนุรักษ์ที่ครอบคลุม (TFCA) ที่มีการชุมนุมของแม่น้ำ Limpopo และ Shashe ซึ่งรวมถึงแอฟริกาใต้บอตสวานาและซิมบับเว ด้านแอฟริกาใต้จะประกอบด้วยโมเสคที่ซับซ้อนของที่ดินเอกชนที่ดินของรัฐและอุทยานแห่งชาติซึ่งได้นำไปสู่การสร้างอุทยานแห่งชาติ Mapungubwe พื้นที่ที่อาจเป็นไปได้ที่ซิมบับเวสามารถกระทำในพื้นที่ TFCA ที่เสนอคือพื้นที่ Safari Tuli Circle ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 41 100ha ในดินแดนบอตสวานาที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ TFCA จะครอบคลุม Northern Reserve Game Reserve (NOTUGRE) NOTUGRE ปัจจุบันครอบคลุมพื้นที่ 36 ไร่ซึ่งมีเนื้อที่รวม 70,000 ไร่ เป็นที่รู้จักในหมู่ช้างทรีซึ่งเป็นช้างที่ใหญ่ที่สุดในภาคเอกชนในแอฟริกา คุณสมบัติที่สำคัญในพื้นที่คือแฟลร์เพลนแบนที่มีหินทรายและสันเขาที่เป็นก้อนและ koppies ทางตอนใต้ของแม่น้ำ Limpopo ใกล้กับ Limpopo ภูมิประเทศที่ราบลื่นเปลี่ยนเป็นภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงชัน ชุมชนพืชสามแห่งได้รับการยอมรับในภูมิภาค: ขอบริมชายฝั่งพร้อมแม่น้ำ Limpopo และ Shashe และแควที่ชุมชน Acacia-Salvadora ของ Limpopo Flats (รวมถึงที่ราบทุ่งใหญ่) และพื้นที่ Vlei และที่ตั้งของ Baobab และ Nalala palm ยืนต้นและ Mopane Veldt สันเขาและแฟลตทางตอนใต้ของแนวชายฝั่งและที่ราบน้ำท่วม ภูมิภาคนี้มีศักยภาพในการอนุรักษ์พื้นที่ขนาดใหญ่ห้าแห่ง ประชากรที่สามารถทำงานได้ของสิงโตเสือดาวเสือชีต้าและหมาที่เห็นยังคงเกิดขึ้นนอกเหนือจากช้าง Tuli ที่รู้จักกันดี นอกจากนี้มีประชากรที่สำคัญของกีบเท้าภายในพื้นที่ของ TFCA ที่เสนอเช่น eland, gemsbok, duiker, impala, zebra, sharpes grysbok, steenbok และ blue wildebeest ที่อยู่อาศัยนี้เหมาะสำหรับแรดขาวและดำ สระน้ำถาวรในแม่น้ำลิโพปโปเสนอที่หลบภัยให้กับจระเข้และฮิปโปรวมทั้งความหลากหลายของพันธุ์ปลาพื้นเมือง การรวมกันของดินที่ได้มาจากหินของระบบ karoo น้ำท่วมตามปกติของ Limpopo และแควที่ทุ่งหญ้าที่ดีและท่องที่ดินและใบแห้ง Mopane สำหรับอาหารสัตว์ในช่วงฤดูหนาวให้ทรัพยากรธรรมชาติสำหรับการเกษตรและการเพาะเลี้ยงหุ้นที่จำเป็นในการ รักษาประชากรจำนวนมากเมื่อผู้นำ Mapungubwe อยู่ที่ความสูงของอำนาจของพวกเขา สัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ให้ทรัพยากรที่จำเป็นมากสำหรับการค้าที่เฟื่องฟูในพื้นที่ พื้นที่ดังกล่าวข้างต้นเป็นหลักฐานเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่สืบทอดมาเป็นเวลานานในสามรัฐสมัยใหม่ของแอฟริกาใต้บอตสวานาและซิมบับเว แหล่งวัฒนธรรมมักเกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานของ Iron Age ประมาณปีพ. ศ. ความคล้ายคลึงกันของวัตถุงาช้างเครื่องปั้นดินเผาที่ยังหลงเหลืออยู่และเม็ดแก้วนำเข้าที่ขุดขึ้นที่บริเวณต่างๆที่แผ่กระจายไปทั่วพรมแดนระหว่างประเทศที่ทันสมัยของประเทศบอตสวานาแอฟริกาใต้และซิมบับเวเป็นข้อพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของประชาชนที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำลิมโพโปโชชิในช่วงยุคเหล็ก . ยุคเหล็กโบราณสถานของ Mapunguble, K2, Leokwe และ Schodra ในอุทยานแห่งชาติ Mapungubwe ในแอฟริกาใต้และไซต์ Mmamagwe ในบอตสวานาเป็นแหล่งศึกษา Iron Age ที่ดีที่สุดในแอฟริกาใต้ เป็นตัวแทนของวัฒนธรรม Zhizo, K2 และ Mapungubwe Iron Age ที่มีอยู่ในภูมิภาคนี้ประมาณ 600AD 1300 AD เว็บไซต์ยุคเหล็กขนาดเล็กที่ทำการไปรษณีย์ช่วงนี้ยังได้รับการบันทึกไว้ในพื้นที่รวมถึงไซต์ที่ถูกยับยั้งบนเนินเขาและซากปรักหักพัง Khami-type การกำหนดมูลค่าโดยรวมที่โดดเด่นภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม Mapungubwe เป็นศูนย์กลางของราชอาณาจักรพื้นเมืองอันทรงพลังแห่งแรกในแอฟริกาใต้ ก่อตั้งขึ้นโดยบรรพบุรุษทางวัฒนธรรมของปัจจุบัน Shona และ Venda ระหว่าง AD 900 และ 1300 หลักฐานสำหรับประวัติศาสตร์ของมันจะถูกเก็บรักษาไว้ในกว่า 400 แหล่งโบราณคดี ปฏิสัมพันธ์แบบไดนามิกระหว่างสังคมกับภูมิทัศน์ทำให้รากฐานของรูปแบบใหม่ขององค์กรทางสังคมในภูมิภาค ราชอาณาจักรเติบโตขึ้นเป็นผลมาจากความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นกับผู้นำจากการค้ากับเครือข่ายมหาสมุทรอินเดียรวมกับสภาพภูมิทัศน์ที่เหมาะสำหรับการเกษตรที่มีไว้สำหรับประชากรกว่า 9000 คน การค้าสินค้ารวมทองคำ, ลูกปัดแก้ว, ผ้าฝ้ายเซรามิคจีนงาช้างทองแดงและหนังแท้ ในศตวรรษที่สิบสามลำดับชั้นทางสังคมได้พัฒนาและส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ เนิน Mapungubwe ถูกครอบครองและแก้ไขเพื่อแยกชนชั้นจากสามัญที่ด้านล่าง การเริ่มต้นของยุคน้ำแข็งน้อยทำให้เกิดภัยแล้งและความล้มเหลวของพืชผล ราชอาณาจักรกระจายตัวหลังจากปี ค. ศ. 1300 ได้มีการจัดตั้งพันธมิตรทางสังคมและการเมืองขึ้นใหม่และศูนย์พลังแห่งภูมิภาคได้เปลี่ยนไปใช้ Great Zimbabwe วัฒนธรรม Mapungubwe ขยายไปสู่บอตสวานาตามหลักฐานทางโบราณคดีของเว็บไซต์เช่น Mmamagwe และเว็บไซต์ยุคเหล็กอื่น ๆ เช่น Commando Kop (Pitsane Kopje) ในพื้นที่ Shashe-Limpopo หลักฐานที่พบใน Commando Kop แสดงให้เห็นว่าประสบความสำเร็จในการครอบครองโดย Zhizo, K2 และ Mapungubwe คนและเครื่องปั้นดินเผาสไตล์ที่แท้จริงคือ Zhizo (Schroda) และ Leopards Kopje (K2 และ Mapungubwe) มีขนาดเล็กเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการศึกษาเชิงเปรียบเทียบที่ล้ำค่าซึ่งกำหนดขอบเขตอย่างไม่ย่อท้อของภูมิทัศน์วัฒนธรรม Mapungubwe ที่กว้างขึ้นซึ่งใช้โดยชุมชนเกษตรกรรมในรอบหลายร้อยปี การขยายและการสรรหาพื้นที่บอตสวานาไปยัง Mapungubwe Cultural Landscape ในแอฟริกาใต้จะเป็นหลักฐานแสดงถึงอาณาจักรขนาดใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองในแอฟริกาใต้ระหว่าง พ. ศ. 900 และ ค. ศ. 1300 ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม Mapungubwe เป็นไปตามเกณฑ์ ii, iii, iv และ v สำหรับ คุณสมบัติทางวัฒนธรรม (ii) แสดงถึงการแลกเปลี่ยนคุณค่าที่สำคัญของมนุษย์ในช่วงเวลาหนึ่งหรือภายในพื้นที่ทางวัฒนธรรมของโลกในด้านการพัฒนาด้านสถาปัตยกรรมหรือเทคโนโลยีศิลปะมหานครการวางแผนเมืองหรือการออกแบบภูมิทัศน์ ภูมิทัศน์วัฒนธรรม Mapungubwe มีหลักฐานที่แท้จริงสำหรับการแลกเปลี่ยนคุณค่าที่สำคัญของมนุษย์ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคมในแอฟริกาใต้ระหว่าง AD 900 และ 1300 ค่าเหล่านี้สะท้อนให้เห็นในหลักฐานการค้าระหว่างประเทศในเครือข่ายมหาสมุทรอินเดียที่สร้างความมั่งคั่งในชุมชน ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนแนวคิดและการเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมและการวางแผนเมือง หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบของรูปแบบวัวกลางเมืองสู่รูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากชนชั้นสูงที่มีความเป็นผู้นำอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเงียบสงบบนยอดเขา Mapungubwe ห่างจากสามัญชน โบราณสถานของ Mmamagwe ในบอตสวานาที่มีการตั้งถิ่นฐานบนยอดเขาและพื้นที่ขนาดเล็กในพื้นที่มีหลักฐานยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการตั้งถิ่นฐานที่เกิดขึ้นในภูมิภาคในขณะนั้น (iii) เป็นหลักฐานที่ไม่เหมือนใครหรืออย่างน้อยที่สุดสำหรับประเพณีทางวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่หายไป Mapungubwe เป็นถิ่นฐานทางบกที่สำคัญที่สุดในอนุทวีปจนถึงการสิ้นพระชนม์เมื่อปลายศตวรรษที่สิบสาม การกระจายของเครื่องปั้นดินเผา Mapungubwe แสดงให้เห็นว่าในช่วงความคั่งแค้นระหว่าง 90000 ปี ค. ศ. 1300 อาณาจักรขยายไปสู่พื้นที่ประมาณ 30 000 ตารางกิโลเมตรทางด้านใดด้านหนึ่งของแม่น้ำ Limpopo และ Shashe ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมมีข้อมูลมากมายในแหล่งโบราณคดีที่บันทึกการพัฒนาของราชอาณาจักรจากการตั้งถิ่นฐานที่ค่อนข้างเล็กโดยอาศัยรูปแบบของใจกลางเมืองถึงเมืองหลวงที่มีพื้นที่แยกต่างหากสำหรับชนชั้นนำและชนชั้นกลาง ฐานอำนาจของวัฒนธรรมสไตล์ซิมบับเวที่พัฒนาไปตามเมือง Limpopo ต่อมาเปลี่ยนไปสู่ ​​Great Zimbabwe เมื่อระบอบการปกครองของสายฝนเปลี่ยนแปลงไปและไม่สามารถสนับสนุนประชากรที่มีอยู่มากได้อีกต่อไป แม้ว่าชุมชนเกษตรกรรมจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปในภูมิภาค Mapungubwe หลังจากปี ค. ศ. 1300 แต่พวกเขาไม่เคยมีความหนาแน่นของประชากรสูงหรือมีอำนาจทางการเมืองเท่าเดิม วัฒนธรรม Mapungubwe ขยายไปสู่บอตสวานาตามหลักฐานทางโบราณคดีของเว็บไซต์เช่น Mmamagwe และเว็บไซต์ยุคเหล็กอื่น ๆ เช่น Commando Kop (Pitsane Kopje) ในพื้นที่ Shashe-Limpopo หลักฐานที่พบใน Commando Kop แสดงให้เห็นว่าประสบความสำเร็จในการครอบครองโดย Zhizo, K2 และ Mapungubwe คนและเครื่องปั้นดินเผาสไตล์ที่แท้จริงคือ Zhizo (Schroda) และ Leopards Kopje (K2 และ Mapungubwe) ขนาดเล็กเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการศึกษาเชิงเปรียบเทียบที่ล้ำค่าซึ่งกำหนดขอบเขตของภูมิทัศน์วัฒนธรรม Mapungubwe ที่กว้างขึ้นซึ่งใช้โดยชุมชนเกษตรกรรมเป็นเวลาหลายร้อยปี (iv) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของวงดนตรีและแนวความคิดทางสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนสำคัญในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ การจัดตั้ง Mapungubwe ในฐานะการค้าขายของรัฐที่มีประสิทธิภาพผ่านทางพอร์ตของแอฟริกาตะวันออกกับประเทศอารเบียและอินเดียเป็นขั้นตอนสำคัญในประวัติศาสตร์ของอนุทวีปแอฟริกา การค้าระหว่างประเทศรวมกับสภาพภูมิอากาศในอุดมคติสำหรับการเกษตรมีการเปลี่ยนแปลงการตั้งถิ่นฐานและประเพณีทางวัฒนธรรมของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและนำไปสู่การสถาปนาความเป็นผู้นำอันศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ผลจากเครือข่ายการค้าที่ขยายตัวได้มีการจัดลำดับชั้นทางสังคมใหม่ของชนเผ่าพื้นเมืองขึ้นอยู่กับความแตกต่างของชนชั้นและการย้ายออกจากรูปแบบวัวควายกลางที่สร้างมายาวนาน ลำดับชั้นทางสังคมกลายเป็นชนชั้นล่างและชั้นล่างที่ปรับรูปแบบกษัตริย์และทำให้อำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองบนชั้นสูง เมืองหลวงได้ย้ายไปอยู่ที่เนินเขา Mapungubwe ซึ่งระหว่างปีค. ศ. 1220 ถึงปีพศ. 1300 ชนชั้นสูงที่อาศัยอยู่บนยอดเขาและชาวสามัญอาศัยอยู่ด้านล่างบนที่ราบรอบเนินเขา ลักษณะทางสถาปัตยกรรมในรูปแบบของกำแพงหินแห้งและความแตกต่างในการจัดวางพื้นที่ใช้สอยที่ยอดเยี่ยมและธรรมดาเน้นคำสั่งทางสังคมใหม่ ๆ (v) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการตั้งถิ่นฐานและรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบดั้งเดิมของมนุษย์ซึ่งเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมหรือการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงภายใต้ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซากปรักหักพังในภูมิทัศน์วัฒนธรรม Mapungubwe แสดงให้เห็นภาพรวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและบันทึกการเติบโตและการล่มสลายของอาณาจักร Mapungubwe เป็นบันทึกที่ชัดเจนของวัฒนธรรมที่กลายเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความถูกต้องและความเที่ยงตรงพื้นที่ที่ได้รับการเสนอชื่ออยู่ในพื้นที่เขตอนุรักษ์แห่งพรมแดนที่เรียกว่า Greater Mapungubwe Transfrontier Conservation Area (GMTFCA) ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จุดบรรจบกันของแม่น้ำ Limpopo และ Shashe ซึ่งทอดตัวไปตามพรมแดนระหว่างประเทศบอตสวานาแอฟริกาใต้และซิมบับเว เขตการปกครอง GMTFCA เป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นจุดยึดของภูมิทัศน์วัฒนธรรม Mapungubwe แหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุมากกว่าหนึ่งล้านปีโดยมีหลักฐานจากเครื่องมือยุคหินยุคก่อนหน้าซึ่งทำโดยบรรพบุรุษของมนุษย์สมัยใหม่โดยอาศัยการวิจัยจากช่วงทศวรรษที่ 1930 และปัจจุบัน สิ่งประดิษฐ์จากสัตว์เช่นลูกปัดที่ทำจากไข่นกกระจอกเทศหอยทากขนาดใหญ่กระดูกและงาและกำไลที่เก็บรวบรวมจากสถานที่ฝังศพเก่าในบอตสวานาแอฟริกาใต้และซิมบับเวยืนยันการวิจัยเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของภูมิทัศน์วัฒนธรรมที่มีขนาดใหญ่ . พื้นที่ที่ได้รับการเสนอชื่อนั้นมีการแทรกแซงน้อยจากมนุษย์ในแง่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เข้มข้นดังนั้นวัสดุทางโบราณคดีทางภูมิศาสตร์จะยังคงอยู่ ภูมิทัศน์วัฒนธรรม Mapungubwe มีการจัดการร่วมกันโดยรัฐบาลของบอตสวานาแอฟริกาใต้และซิมบับเว มีแผนการพัฒนาแบบบูรณาการซึ่งได้มีการจัดทำขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมปี 2553 เพื่อให้สอดคล้องกับการวางแผนเชิงพื้นที่ของเขต ฯพณฯ โดยการจัดทำแผนพัฒนาแนวคิดที่จำเป็นเพื่อปลดล็อกศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยธรรมชาติของพื้นที่อนุรักษ์อย่างยั่งยืนและเป็นธรรม มีร่างแผนจัดการท่องเที่ยวของ GMTFCA ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552 และแสดงให้เห็นว่า Mapungubwe Cultural Landscape และสภาพแวดล้อมรอบข้างจะถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการท่องเที่ยวเพื่อให้เป็นที่ยอมรับผ่านคณะกรรมการระดับฝ่ายไตรภาคี กฎหมายที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลบอตสวานาคือพระราชบัญญัติสัตว์ป่าและอุทยานแห่งชาติปีพ. ศ. 2535 อนุสรณ์สถานและอนุสรณ์สถานแห่งปีพ. ศ. 2544 และพระราชบัญญัติน้ำแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีพระราชบัญญัติการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในปี 2548 รัฐบาลซิมบับเวได้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยอุทยานและสัตว์ป่า พ. ศ. 2539 พรบ. การจัดการด้านสิ่งแวดล้อมแห่งปีพ. ศ. 2545 พรบ. ป่าปี พ. ศ. 2491 พรบ. ป่าชุมชนการผลิตป่าไม้ปีพ. ศ. 2471 ฯลฯ และแอฟริกาใต้ พระราชบัญญัติการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม พ. ศ. 2541 พระราชบัญญัติพื้นที่คุ้มครองปีพ. ศ. 2548 พระราชบัญญัติมรดกทางวัฒนธรรมของแอฟริกาใต้ปีพ. ศ. 2542 พรบ. ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งปีพ. ศ. 2547 เครื่องมือทางกฎหมายเหล่านี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะได้รับการคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบกับคุณสมบัติอื่นที่คล้ายคลึงกันภูมิทัศน์ประเภท Mapungubwe ด้านบอตสวานามีส่วนประกอบทางมรดกหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับมรดกโลกทางวัฒนธรรมของแอฟริกาใต้ Mapungubwe มรดกเป็นส่วนขยายของภูมิทัศน์วัฒนธรรม Mapungubwe ชาววัฒนธรรมและรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของชาวแอฟริกันใต้ตามมาซึ่งรวมถึงชาวซิมบับเวและคามิในยุคปัจจุบันซิมบับเวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกด้วย มรดกของ Mapungubwe เปรียบได้กับอเมริกากลางและตะวันออกใกล้ในหลาย ๆ ด้านแม้ว่า Mapungubwe จะอายุน้อยกว่าพวกเขา รายชื่อด้านบอตสวานาจึงน่าจะยกย่องว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของแอฟริกาใต้ Mapungubwe และให้พื้นที่อนุรักษ์ที่กว้างขึ้นสำหรับมรดกทางวัฒนธรรมอุทยาน Mapungubwe National Park โปรดทราบ: Mapungubwe National Park แบ่งออกเป็นส่วนตะวันออกและตะวันตกแยกจากกันโดยที่ดินเอกชน อยู่ระหว่างที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน จองห้องพักที่ Tshugulu Lodge, Limpopo Forest Tented Camp, Mazhou Camping Site และ Maloutswa Bird Hide จำเป็นต้องขับรถออกนอกสวนเพื่อไปยังส่วนตะวันตกของอุทยานที่ตั้งค่าย ร้านอาหารและ Curio Shop จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานอยู่ที่ประตูหลัก ไม่มีสถานีเติมหรือตู้เอทีเอ็มที่มีอยู่ในอุทยาน ไม่มีโทรศัพท์มือถือรับในค่ายทั้งหมดเฉพาะที่ประตูหลัก ผู้เข้าพักที่ใด ๆ ของค่าย Parks ต้องเช็คอินที่บริเวณแผนกต้อนรับส่วนหน้า Main Gate ผู้เข้าพักต้องรอชั่วโมงก่อนเวลาปิดประตูเพื่อเช็คอินเพื่อให้สามารถเดินทางไปยังค่ายได้ นี่เป็นค่ายหลักของ Mapungubwes ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสวนสาธารณะห่างจาก Main Gate 11 กิโลเมตรในเทือกเขาหินทรายที่สวยงาม ใกล้กับค่ายผู้เข้าพักสามารถเพลิดเพลินกับ Treetop Hide และ Conflicence View Site แอ็กเซ็ทพื้นที่ปิกนิก ค่ายนี้มีสระว่ายน้ำและลานอาบแดดรวมทั้งพื้นที่ส่วนกลางของ braai ค่ายแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณริมแม่น้ำ Limpopo ซึ่งมีการขี่นกที่ยอดเยี่ยมตั้งอยู่ทางตะวันตกของสวนประมาณ 40 กิโลเมตรจากประตูหลัก ค่ายอยู่ใกล้กับ Maloutswa Pan hide ที่พักแบบหรูหราแห่งนี้นอน 1 x 12 ในห้องพักของผู้เข้าพักที่มีห้องนอน 6 ห้องห้องอาบน้ำสระว่ายน้ำพร้อมอ่างเก็บน้ำ Lodge ตั้งอยู่ในส่วนตะวันตกของ Park ประมาณ 23 กม. จาก Main Gate ตามถนน Pondrift R572 ในส่วนตะวันออกของอุทยานแห่งชาติ Mapungubwe ห่างจากประตูหน้าหลัก 13 กิโลเมตร Vhembe Wilderness Camp ตั้งอยู่บนสันเขาขนาดเล็กภายในหุบเขาสามารถเดินไปยังแม่น้ำ Limpopo และ Mapungubwe Hill ได้ การจองสามารถทำได้ทางออนไลน์ ค่ายนี้ไม่เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีเด็ก ค่ายดำเนินการเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์จึงไม่มีปลั๊กไฟฟ้าที่มีอยู่ ค่ายไม่รั้ว ถนนไปยังค่ายแห่งนี้ต้องใช้รถกวาดล้างขนาด 4x4 หรือสูง ไม่มีสระว่ายน้ำที่ค่ายนี้ สถานที่ตั้งแคมป์ Mazhou ในอุทยานแห่งชาติ Mapungubwe ตั้งอยู่ประมาณ 40 กม. จาก Main Gate ใกล้กับค่าย Limpopo Forest Tented Camp ในส่วนตะวันตกของสวน สถานที่ตั้งแคมป์เหมาะสำหรับคาราวานหรือเต็นท์ 10 แห่งและสถานที่ตั้งแคมป์แต่ละแห่งติดตั้ง powerpoint ผู้เข้าพักที่ประสงค์จะเข้าพักที่ Mazhou Camping Site ที่ Mapungubwe Main Gate ส่วนลด Pensioner สามารถใช้ได้ตั้งแต่วันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสบดีในช่วงระยะเวลาส่วนลดพิเศษของ Pensioner Discounts ข้อมูลทั่วไปหากต้องการดูราคาที่พักโปรดดูที่การจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางภาษีศุลกากรศูนย์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับประตูหลักของอุทยานแห่งชาติ Mapungubwe ได้รับรางวัลการสร้างการแข่งขันในปี 2552 และเป็นที่ตั้งของแรดสีทองที่มีชื่อเสียง ศูนย์ให้ทั้งผู้เข้าชมในวันและตลอดทั้งคืนโอกาสของการทัวร์จัดแสดงภูมิทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่อุทยานแห่งชาติมีให้ แกลลอรี่ภาพของศูนย์การแปลเยี่ยมชมบรรจบกันเพลิดเพลินไปกับมุมมองที่บรรจบกันของแม่น้ำ Shashe และ Limpopo ที่สามประเทศตอบสนอง Heritage Tours ในส่วนของทัวร์นี้คุณจะได้รับโอกาสเยี่ยมชมสุสานชั้นยอดที่ด้านบนของ Mapungubwe Hill ดูอัฒจันทร์ตามธรรมชาติและคลื่นความถี่ทั้งหมดของภูมิภาคสำรวจดินแดนที่เคยเดินตามโดยบรรพบุรุษของ Mapungubwe People - ตอนนี้เดินเตร่โดยสี่ของบิ๊ก 5 ไดรฟ์เกมไดรฟ์ยามอาทิตย์ของเราและไดรฟ์กลางคืนช่วยให้คุณมีโอกาสที่จะค้นหาเกมนอกเวลาเปิดประตูปกติ Morning Guided Walks การเดินเที่ยวชมยามเช้าซึ่งสามารถรองรับได้ถึงแปดคนทำให้ผู้เข้าพักมีโอกาสได้ดื่มด่ำกับพุ่มไม้และสัมผัสมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอันกว้างใหญ่ของอุทยาน พุ่มไม้ Braais สัมผัสกับไดรฟ์เกมที่น่าจดจำสิ้นสุดในมื้อค่ำในพุ่มไม้สามารถมองเห็นเขื่อนล้อมรอบด้วยโคมไฟเผาไหม้ในขณะที่ฟังเสียงของสัตว์ bushveld และห่างไกลโทร สามารถรองรับได้ไม่น้อยกว่า 4 คนและสามารถรองรับได้ถึง 20 คนโดยมีกำหนดอายุหกปี บุชบุชต้องจองและยืนยันล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ งานแต่งงานขนาดเล็กและกิจกรรมพิเศษโอกาสที่จะทำให้งานแต่งงานหรืองานพิเศษของคุณกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำของพุ่มไม้ ดูโบรชัวร์งานแต่งงานและกิจกรรมพิเศษสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ทำ Tree Top Walk หรือ Game Drive เดินเล่นท่ามกลางป่าริมแม่น้ำบนทางเดินบนหลังคาซึ่งจะพาคุณไปซ่อนตัวที่ริมแม่น้ำ Limpopo River ภาษีศุลกากรมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ. ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2560 Mapungubwe: กลายเป็นอุทยานแห่งชาติพื้นที่ Mapungubwe กลายเป็นจุดสนใจของการวิจัยทางการเกษตรในช่วงทศวรรษที่ 1920 ผ่านความพยายามของนักพฤกษศาสตร์ชื่อดัง Dr. I. B. Pole Evans Pole Evans เป็นเครื่องมือในการสร้างคณะกรรมการที่ปรึกษาการสำรวจทางพฤกษศาสตร์ซึ่งได้รับมอบหมายให้ประสานงานการวิจัยทางพฤกษศาสตร์ตลอดทั้งสหภาพแอฟริกาใต้ หนึ่งในเครือข่ายของสถานีวิจัยทางพฤกษศาสตร์และการวิจัยซึ่งตั้งขึ้นโดยการสำรวจทางพฤกษศาสตร์ตั้งอยู่ในพื้นที่ Mapungubwe ในปีพ. ศ. 2461 รัฐบาลตามคำร้องขอของนายพลชัทส์ได้จัดทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์จำนวน 9 หลังไว้ในบริเวณนี้เพื่อรักษาสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ธรรมชาติ ไม่กี่ปีต่อมานี้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ Dongola Botanical Reserve ขั้วโลกอีวานส์ตั้งเป้าหมายขยายเขตสงวนพฤกษศาสตร์ Dongola ในตอนต้นของยุค 40 สำรองได้รวม 27 ไร่รวมทั้ง Greefswald ทรัพย์สินที่ Mapungubwe เนินตั้งอยู่ เสา Evans กล่อมให้มีการสงวนประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติด้วยการสนับสนุนของนายกฯ Jan Smuts ในปีพ. ศ. 2487 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดินแอนดรูว์คอนรอยได้เสนอการจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงโอล่าซึ่งรวมถึงฟาร์มจำนวน 124 แห่งซึ่งเป็นของเอกชน ข้อเสนอนี้ได้รับคัดค้านอย่างรุนแรงจากพรรคแห่งชาติจากนั้นจึงมีการคัดค้านอย่างเป็นทางการในรัฐสภาและคณะกรรมาธิการอุทยานแห่งชาติ In one of the longest running debates in the history of the South African parliament, supporters argued that it was necessary to conserve the countrys natural assets, that the land set aside for the proposed reserve was unsuitable for agricultural purposes and that the area had a rich archaeology which should be protected. Those opposed to the establishment of the reserve argued that it was unacceptable to alienate agricultural land for wildlife conservation, to expropriate private land or to evict people from land they had occupied for generations. The debate, which has become known as the quotBattle of Dongolaquot, resulted in the declaration of a much reduced area as the Dongola Wildlife Sanctuary, after members of the ruling United Party voted in favour of the proposal. The National Party won the elections in 1948, and the sanctuary was abolished in 1949. Expropriated farms were returned to their original farmers, farms owned by the state were allocated for resettlement and funds returned to donors. In 1967 another proposal to protect the area was initiated and the Vhembe Nature Reserve, comprising three farms, including Greefswald, was established as a Transvaal provincial reserve. In 1993 De Beers Consolidated Mines, which had established the Venetia Limpopo Nature Reserve on land that adjoins Greefswald, called for the area to be declared a national park. In 1995 the South African National Parks Board and the Limpopo provincial government signed an agreement committing themselves to the establishment of the new national park. The Vhembe Dongola National Park was proclaimed on 9 April 1998. The Vhembe Dongola National Park was renamed Mapungubwe National Park and opened officially on Heritage Day, 24 September 2004. In the 21st century Mapungubwe has been embraced as a site of significance by South Africans and the international community. The Mapungubwe National Park was declared in 1998. The Mapungubwe Cultural Landscape (MCL) was declared as a National Heritage Site in 2001 and it was inscribed on the World Heritage List in 2003. The MCL was inscribed on the World Heritage List in 2003 because it is believed to be of outstanding universal value for the following reasons: The MCL contains evidence for an important interchange of human values that led to far-reaching cultural and social changes in southern Africa between AD 900 and 1300. The remains in the MCL are a remarkably complete testimony to the growth and subsequent decline of the Mapungubwe State which at its height was the largest kingdom on the African subcontinent. The establishment of Mapungubwe as a powerful state trading through the East African ports with Arabia and India was a significant stage in the history of the African sub-continent. The remains in the MCL graphically illustrate the impact of climate change and record the growth, and then decline, of the Kingdom of Mapungubwe as a clear record of a culture that became vulnerable to irreversible change. The remains of this famous kingdom, when viewed against the present day fauna and flora, and the geo-morphological formations of the LimpopoShashe confluence, create an impressive cultural landscape of universal significance. Mapungubwe: An Archaeological Site In December 1932, Ernst van Graan, his son Jerry and three other men searched the farm Greefswald, where both Mapungubwe and K2 are located, for a sacred hill rumoured to hold the treasure of kings. Arriving eventually at the steep-sided and seemingly unscaleable hill, a local man, known only as Mowena, reluctantly pointed the way to a narrow path well concealed in a cleft in the rock. Reaching the top of the hill, the men found remnants of stone walls and large quantities of potsherds, some iron tools and copper and glass beads scattered on the ground. They returned the next day with spades and soon unearthed ancient graves, three which were different and probably belonged to royalty. The first, probably a woman, was buried in sitting position facing west. She wore gold bangles around her ankles and there were gold and glass beads in the grave. The second grave was a tall middle-aged man, also sitting up and facing west. He wore a necklace of gold beads and cowrie shells and some objects covered in gold foil, one resembling a crocodile. In the third grave, probably also from a man, a golden bowl, scepter and a golden rhino were found. This rhino has become a ymbol for Mapungubwe. The men split the gold between them but one, Jerry van Graan, realising the possible significance of the find, sent a few small pieces of gold together with a letter to his former professor, Leo Fouche at the University of Pretoria. Professor Fouche immediately mounted an expedition to recover and secure the newly found treasures and the surrounding environment for archaeological research. Excavations in the 1930s unearthed 23 graves on top of Mapungubwe Hill. Three were different and probably belong to high royalty. In June 1933 the government purchased the farm Greefswald, gave the University of Pretoria the right to excavate for a period of five years and constituted an Archaeological Committee at the university to take charge of the excavations. Exploratory excavations in 1933 were followed by large-scale excavations between 1934 and 1940. Unfortunately the lack of proper recording procedures during this time means that valuable evidence may have been lost. Work on the site was halted during World War II and limited, but more systematic excavations were undertaken in the 1950s and 1960s. After 1970 widespread excavations were undertaken at K2 and Mapungubwe. These were aimed at establishing a firm database by testing, correcting and supplementing the earlier research, coming to an understanding of the Iron Age settlement sequence and reconstructing the way of life of the sites inhabitants. This information is available in a range of specialist reports, academic publications and guide-books. In the late 1990s, after the area was designated as a National Park, extensive rehabilitation and stabilisation work was undertaken to secure the archaeological sites. Research over the past decade has focused on the material held in the University of Pretorias Mapungubwe Collection, gathered over the 60-year period of excavations. The Mapungubwe Museum, established by the University of Pretoria in 2000, serves as a centre for the conservation and display of the collection, disseminating information about Mapungubwe in all its diversity. Between 1933 and 1998 the remains of about 147 individuals were excavated from the Mapungubwe Cultural Landscape. These included individuals buried on Mapungubwe Hill and in the K2 area. These human remains were excavated from their graves and placed in the collections of the University of Pretoria, the University of the Witwatersrand and Ditsong Museum where they were used for research purposes. Individuals and organisations representing the descendants of the people of Mapungubwe, including the Vhangona Cultural Movement, the Lemba Cultural Association, the San Council, the Tshivula Royal Family, the Ga-Machete Royal Family and the Leshiba Royal Family came together after 1994 to request government to facilitate the process of repatriation and reburial of these human remains. The National Department of Environmental Affairs and Tourism was tasked with facilitating this process. After extensive consultation, the human remains were symbolically released to representatives of the descendants on 29 October 2007. The remains were reburied on 20 November, following a cleansing ceremony. Mapungubwe: A Cultural Landscape Two of the earliest plant-eating dinosaurs, Plateosauravus (Euskelosaurus) and Massospondylus, are known to have lived in the area now known as the Mapungubwe Cultural Landscape (MCL). Plateosauravus, the oldest South African dinosaur, lived about 210 million years ago and is believed to have grown to be about 10 metres long. Massospondylus, the most common South African dinosaur, lived about 195 million years ago and is believed to have grown to between three and six metres long. These two species are similar in many ways. They both had long tapered necks and tails and elongated cylindrical bodies and they both walked on all fours, standing upright on their hind legs in order to reach the succulent young fronds of cycads and seed ferns. Like many other dinosaurs, these used their hands to manipulate objects like branches or to prop or pull themselves up against objects. The first inhabitants of the Mapungubwe Cultural Landscape (MCL) who arrived about 300,000 years ago were people of the Earlier Stone Age (ESA). They walked upright but their brains were not as well developed as ours. Many ESA stone tools have been found at open-air sites such as Hackthorne and Keratic Koppie. The tools include handaxes, picks, cleavers and scrapers that were made from local rocks such as quartz, chert, chalcedony and occasionally dolerite. Between 250,000 and 130,000 years ago the heavy tools of the ESA were replaced by lighter and more technologically advanced Middle Stone Age (MSA) tools. At Kudu Koppie and Parma Farm these tools, made by physically modern people, include parallel-sided blades and triangular points which were hafted to make hunting spears. There is evidence from a rock shelter at Balerno that by 11,000 years ago, small groups of people of the Later Stone Age (LSA), ancestors of the San (Bushmen), had begun to live in the Mapungubwe Cultural Landscape. Tools associated with this and other LSA sites such as Thudwa Shelter at Little Muck, include carefully prepared blades and scrapers made from fine grained rocks, such as quartz or chalcedony. The tools are generally smaller than those of the MSA. Towards the end of the LSA, about 3,000 years ago, people in the MCL began painting images of animals and people on the walls of rock shelters to record their beliefs and rituals. MSA and LSA tools accumulated on the floor of rock shelters, together with bones of animals they ate and decayed plant matter that built up in layers when people returned to these places repeatedly. Analysis of the remains shows that the LSA inhabitants lived mainly off small animals such as small antelope, tortoises, hares and fish caught by hunting and snaring. Hunter-gatherers living in the Mapungubwe Cultural Landscape were probably surprised around the first century AD when LSA herders and early framers entered the area By AD 450, an even more dramatic change had taken place, as Early Iron-Age farmers moved into the area, bringing with them farmers with them domesticated cattle, sheep and goats, crops such as sorghum and millet, and skills such as iron - and copper-working and pottery-making. How did these three groups interact with each other What effect did the influx of newcomers have on the people already living there And what effect did the newcomers have on the landscape Excavations in rock shelters in the MCL show that hunter-gatherers did not move away during the first millennium AD, and were in fact more active. This is reflected in larger numbers of stone tools, bone tools, ostrich eggshell and Achatina shell beads and ochre, as well as new items such as glass beads and pottery. The increased activity is believed to be the result of interaction with farmers who took over land and resources previously available to hunter-gatherers in the region. The hunter-gatherers therefore stayed for longer periods in rock shelters and other places less favoured by the farmers and created new economic networks, taking agricultural produce, pottery, metal and glass beads in exchange for hides and wild meat. Hunter-gatherers continued to make rock paintings during this period to emphasise their ownership of rock shelters and their powers of rain-making. By about AD 900, Zhizo people had moved into the area, establishing settlements in the MCL, eastern Botswana and south-west Zimbabwe. At least 25 Zhizo settlements have been identified in the MCL. In most cases these settlements are set back from the Limpopo and other rivers, in areas where crops could be cultivated without threat of destruction by floods or marauding elephants. Schroda is the largest of the Zhizo settlements in the MCL and is generally referred to as the Zhizo capital. Located on a rocky plateau close to the Limpopo River, Schroda was home to between 300 and 500 people. Zhizo presence in the MCL diminished after about a hundred years, and while some settlements remained, the chiefdom moved westwards into Botswana. The area was soon dominated by a new group, the Leopards Kopje people. Hunter-gatherers were no longer able to move freely around the landscape to gather wild plant foods and to hunt easy prey. The differences in the belief systems and social organisation of farmers and hunter-gatherers made it difficult for them to inter-marry, and the perceived benefits of the goods and services that each group had to offer probably also changed over time. Zhizo farmers may have valued the services of the first people who were considered to have power over nature and the supernatural in terms of rain-control, as well as local knowledge of plants and herbal remedies. Hunter-gatherers would have valued the metal tools, cultivated grains and glass beads that they received from the Iron Age farmers. People making Leopards Kopje pottery began to live in the Mapungubwe Cultural Landscape about a thousand years ago. The largest settlement was at the site now known as K2, but there were many smaller villages in and around the Limpopo floodplain. The name K2 was given to the site by archaeologist Guy Gardner who was trained in Egypt where the word Kom means a mound or midden, a heap of discarded food remains, artefacts, etc disc, built up by people living in the same place over many generations. K1 is a smaller mound to the east of K2. The Leopards Kopje farmers cultivated crops on the flat lands between the hills where they could take full advantage of the seasonal flooding of the Limpopo River and its tributaries. They made a substantial impact on the natural landscape, clearing land for the cultivation of crops, dumping refuse and burning old houses and kraals. Even today, a thousand years later, middens and kraals are still easily identifiable because very little vegetation grows on them. Animal bones excavated from these settlements show that the people ate meat from sheep, goats and cattle, supplemented with game and fish from the river. Seeds preserved from cultivated crops include sorghum, millet, beans and cowpeas. Metal artefacts included arrowheads, spearheads, hoe blades, beads, bangles and wire. Small quantities of iron and copper ore and slag show that metal working took place in and around the settlement. Almost a hundred graves were found at K2. Information about them can be found in Cairn Three. Between AD 1220 and AD 1300, Leopards Kopje people settled on and around Mapungubwe Hill. This site is renowned as the centre of southern Africas first indigenous kingdom. The kingdom flourished as the result of trade with the Indian Ocean network. The emergence of a class-based society is reflected in the separation of an elite class with a sacred leader who lived on top of the hill, and commoners who lived on the plains below. At the height of its importance, between AD 1220 and AD 1300, the Mapungubwe Cultural Landscape sustained a population of at least 9,000 people. Mapungubwe is arguably best known for the gold artefacts found in graves on the hill in the 1930s. Three of these graves contained gold beads and other items confirming the high status of the individuals who lived and were buried on the hilltop. Vital Information Internal Road Network Approximately 35km of roads are suitable for normal sedan vehicles. A further 100 km is accessible to all terrain (4x4) vehicles. Fill up your fuel tank at Alldays Musina as you cannot buy petrol at the park. All the roads within the Park is gravel. Bookings at Tshugulu Lodge, Limpopo Forest Tented Camp, Mazhou Camping Site and Maloutswa Bird Hide requires one to drive outside the park in order to rejoin the Western section of the Park where the camps are located. Vehicle Restrictions No caravans are allowed in the eastern section of the park due to roads conditions. We have a caravan park at Mazhou camping site on the western section of the park. Fuel Stations: Petrol Diesel There is no fuel station inside the park. The closest filling stations are in Musina 70km and All days 65km from the main gate. Day Visitors Entry is via the SANParks Wild Card system, or payment at the gate. Cut off time for day visitors entry is two hours before the gate closing time. No open bakkies with people at the back will be allowed in to the Park. Official hours Gate, Camps and Facilities 1 September - 31 March Please note: Check-in time is from 14:00 and check-out time is before 10:00. In order to allow for check-in and suitable travelling time to the camps, please arrive at the Mapungubwe Main Gate an hour before gate closing time. Late travelling to the camps is only allowed for guest participating in the afternoon activities and those who had dinner at the restaurant (please ensure proof of payment can be produced upon request by the park official enroute to the camp). The climate is semi-arid with mean annual rainfall ranging from 350mm - 400mm. Rainfall is highly variable and usually falls during the summer months. Extended periods of below average rainfall occur. In summer temperatures sometimes rise to 45C. The winters are mild. Summer can be hot, but bearable and enjoyable if planned correctly. Early summer mornings and afternoons are the most rewarding in the park, for birds, trees and game. Winters are mild. There is on average 10 rainy days per year. Hints amp Tips Mapungubwe National Park is an area with large and dangerous game animals and unguided walking is not permitted. Guests, who would like to arrange activities such as walks, drives and visits to cultural attractions, can do so directly with Mapungubwe. As outdoor lighting in camps is limited, a torchheadlamp is required when walking outside at night. Guests should take precautions against malaria when visiting Mapungubwe. All Mapungubwersquos camps are accessible by normal sedan vehicles, but it is advisable to have a 4x4 or high clearance vehicle to ensure an enjoyable drive inside the park. There are also a number of eco-trails for which a 4x4 is required. The closest shops and fuel supplies to Mapungubwe are in Alldays and Musina, both about 70 kmrsquos from the Park. We only sell snacks and refreshments at the Park. The are no debit card facilities available in the Park. Payments can only be made via cash or credit card. Cheques are not accepted. What visitors need to take: Mapungubwe has a Restaurant serving breakfast, lunch and dinner as well as a Curio ShopMini Confluence Shop selling snacks and refreshments. The units are self catering and fully equipped. Sunscreen, hat, binoculars, field guides, liquids for drinking. Fill up your fuel tank at Alldays Musina. Conservation The significance of the Mapungubwe National Park and the areas surrounding it is enhanced by the potential role of the area as a sanctuary for viable populations of some of the most threatened large mammals on earth, such as the black rhinoceros, wild dog, cheetah, brown hyena and elephant. It also is one of the last protected areas of the Limpopo riverine forest. Scientific Services The area has tremendous potential for research, both cultural and biological. Currently there is an Elephant Project and numerous cultural research projects. Poverty Relief projects worth R48 million was completed during 2002-2004. These projects provided work to more than 1 000 people. A next round of projects is planned for 2005-2007. With this funding the park intend to built an Interpretive Centre and rehabilitate numerous aspects of the park. Contact Information Email: Mapungubwe National Park Reception numbers: (015) 534 792324 Hospitality Manager: Tintswalo Mhlongo tintswalo. mhlongosanparks. org (015) 534 792324 Park Manager and Interpretation Centre: (015) 534 7925 Tele-fax: (015) 534 7926 Duty Manager amp Emergency Numbers: 076 846 1593 071 505 7070 Cultural Heritage South African National Parks (SANParks) has established itself as a reputable nature based tourism destination within the global tourism market. Limitations of past apartheid and conservation laws have, in the past, inhibited SANParksrsquo ability to explore and promote a variety of community linked tourism opportunities as well as an exploration of associated park based cultural assets. In order ldquoto deliver a people-centred conservation and tourism mandate for SANParks, all National Parks have effectively embarked on a mission to develop and promote culture-based tourism products. The strategy aims to tap into and support the development of those cultural dimensions that enable more depth of interaction with, and understanding of, local people in and around National Parks, the regions and their unique cultural identities. Mapungubwe National Park and World Heritage Site Mapungubwe and its recent declaration as a World Heritage Site has helped to highlight the significance of cultural heritage within SANParks. The inextricable links between people, biodiversity conservation and cultural heritage have become more evident through Mapungubwe. A number of initiatives have now come up within SANParks to enable a more dedicated focus on cultural heritage and community participation. The Mapungubwe National Park provides unparalleled opportunities for the development of cultural resources as a sustainable component in the overall park development and management. As contemporary South Africa increasingly takes interest in, and its inspiration from, the Kingdom of Mapungubwe, there are opportunities for building a national constituency across the country amongst particularly the youth. Significantly, the story of Mapungubwe and its importance in the overall history of the sub-continent has been incorporated into the national schoolsrsquo curricula. This means that the site itself is increasingly becoming a focus for educational tours, with many primary and secondary schools as well as students from tertiary institutions visiting the park. The formation of the park at a time when issues of landownership and restitution has come to the fore throughout southern Africa also provides an opportune moment for the park authorities to implement models of outreach to local communities. The park now regularly hosts communities from Botswana and Zimbabwe who, for almost more than 100 years were cut off from ancestral land of which their ancestors once were an integral part. In this way the park is reaching out to a broader Southern-African community ndash an initiative that, it is hoped, will eventually culminate in the formation of a Transfrontier Conservation Area. Transfrontier Conservation Areas signifciantly promote regional integration, greater biodiversity, environmental tourism and economic growth. Birding in Mapungubwe Because of its new status, the park is relatively unexplored bird wise and with its proximity to Botswana and Zimbabwe. all sorts of species could turn up. Along the Limpopo specials for South Africa such as Meversquos (Longtailed) Starling, Tropical Boubou and the reclusive Pelrsquos Fishing Owl should be searched for. There is a high density of Verreauxrsquos (Black) Eagle in this craggy landscape and other raptors are also prominent. Particularly enticing is an abundance of cuckoo species in summer with up to eleven different species being found, including the rarer Common and Thickbilled Cuckoos. A list of over 400 species for the area is purported and will be posted on this site once available electronically. An interesting attraction of the park is the occurrence of species typical of the arid western regions of the country (e. g. Southern Pied Babbler, Crimson-breasted Shrike and Black-faced (Black-cheeked) Waxbill) occur alongside species associated with the moister Lowveld habitat of the Kruger National Park. At Leokwe Camp Verreauxrsquos (Black) Eagle nest on the cliff face above the reception block. The most prominent bird is probably the Cinnamon-breasted (Rock) Bunting . but other species associated with bush and rocky environments are common too. Blue Waxbill and Black-backed Puffback are also particularly common. The Limpopo Tree-top Boardwalk and hide is a magnificent facility allowing the visitor into the trees alongside the birds or looking down on those that forage on the ground and lower strata. Meyerrsquos Parrot, White-crested Helmetshrike, Meversquos (Longtailed) Starling and some flycatcher species will be seen. Both Tropical and Southern Boubou occur. Birding from the hide in the riverbed will vary depending on water levels in the river and can be very rewarding. Pelrsquos Fishing Owl are around, so hope for some luck. White-fronted Bee-eater breeds in the river banks and are very prominent. African Fish Eagle will make their presence known too. The Confluence is a great place to scan for passing raptors, while several other species will be easy to locate here. At the Limpopo Forest Tented Camp the environment is very similar in appearance and atmosphere to the Pafuri Picnic Site in Northern Kruger. And the cacophony of birds calling in the morning suggests it will be as productive. Yellow-bellied Greenbul, Meversquos (Long-tailed) Starlings, Black-backed Puffback and Tropical Boubou should be seen, and Southern Pied Babbler and Natal Spurfowl (Francolin) are very vocal as are Orange-breasted and Grey-headed Bush-shrikes and Grey-backed Camaroptera (Bleating Warbler). At night one should hear several species of owl including Barn, African and White-faced Scops, Verreauxrsquos (Giant) Eagle and Pearl-spotted. Pelrsquos are also not infrequently seen in the area. The Maloutswa Hide is a good place to sit to watch mammals and birds of all descriptions come and go. To get there from the Tented Camp is a short drive, first through riverine woodland, then through arid thornveld, before one passes across a plain of reclaimed and rehabilitating farmland. This human intervention has created a different habitat type and is rewarding from a birding perspective. Kori Bustards are prominent while Chestnut-backed Sparrowlark and Wattled Starling are nomadic, but may be abundant. Temminckrsquos Courser and Ground Hornbill may also be seen in this habitat, as will a number of swallows. Crimson-breasted Shrike are resident in the area by the hidersquos parking area. Red-billed Buffalo Weaver and Meversquos (Long-tailed) Starlings will be among the most evident of species seen from the hide, but anything is possible. Leopard and Bushpig are regular evening visitors. The Limpopo Floodplain in flood is a paradise for aquatic birds when in flood. Grey-crowned cranes . up to 7 stork species and several wader, heron, crake and duck species will be seen in these wet times. Rarities are always on the cards. It is reported that Boulder Chat has been seen and when one looks at the habitat (particularly around Leokwe) and considers the proximity to the Matobos and other known locations, it would appear a distinct possibility. There are many stands of Lala Palms (although the elephants do hammer them) and Collared Palm Thrush has been recorded. Other specials that one should look out for include Great White Pelican, White-backed Night Heron, Bat Hawk, Augur Buz za rd, African Hobby, Dickinsonrsquos Kestrel, Green Sandpiper, Three-banded Courser, Blue-spotted Wood Dove, Grey-headed Parrot, Senegal Coucal, Pennant-winged Nightjar, Blue-cheeked Bee-eater, Broad-billed and Racket-tailed Roller, African Golden Oriole, Olive-tree Warbler and who knows what else. View Limpopo Birding Route (limpopobirding ) for more birding info on the park and the surrounding area. Most of the large game species occur in the park. There is a lot of movement of game between the three countries, and game numbers fluctuate. Current species include: There are numerous smaller game species, including badgers, sivets, porcupine, caracal, vervet monkey, and a host of smaller species. The Kongoni Loop (4x4 vehicles only) and Maloutswa Pan hide can be rewarding. There is a varied reptile fauna. Pythons and Black mambas are common. Insect and other arthropod life is diverse. From November to March the beautiful Mopane Moth can be seen flying around. The large larves of these moths are a valuable food source in the northern parts of the country. At least nine scorpion species has been identified in the park. A number of well preserved fossils, including flowering plants as well as whole-bodied insects, were recovered from the fine-grained mudstones. Other interesting fossil finds are dinosaur footprints and fossilized termite mounds. Vegetation The numerous habitat types have resulted in high species diversity. There are at least 24 Acacia species and 8 Commiphora species, amongst other. Other vegetation of the area is a typically short fairly dense growth of shrubby Mopane trees, generally associated with a number of other trees and shrubs and a somewhat sparse and tufted grassveld. The riparian fringe of the Limpopo is of prime importance from the point of view of conservation. It is a dense vegetation community with a closed canopy which occurs in the rich alluvial deposits along the river. The most striking trees in this community fever trees, Ana trees, Leadwoods, Fig trees and acacias. Extensive patches of this vegetation have been cleared for cultivation elsewhere along the length of the Limpopo River. The Limpopo floodplain has allowed some trees to grow to massive sizes. Nyala berries and Ana trees can get particularly big. There are also some very large baobabs in the park, with one specimen having a circumference of 31m. People with disabilities Wheelchair Access